วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เทคโนโลยีไร้สาย ยุค1G - 4G 14

จาก ความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของระบบเครือข่ายสื่อสารไร้สายทำให้มีการคาดหมาย ไว้ว่า ระบบเครือข่ายไร้สายในยุคที่ 4 จะเข้ามาในอีกไม่เกิน 8-10 ปี ซึ่งจะเป็นวิวัฒนาการที่แตกต่างไปจากการพัฒนาในยุค 2.5G และ 3G โดยจะเน้นไปที่การรวมเอาเทคโนโลยีสื่อสารไร้สายที่มีอยู่ทั้งหมดเข้าด้วยกัน อย่างลงตัวไม่ว่าจะเป็น GSM แลนไร้สาย บลูทูธ หรือแม้กระทั่ง RFID
ถ้า จะเปรียบเทียบกับเทคโนโลยีในยุค 3G ที่มุ่งเน้นด้านการพัฒนามาตรฐานใหม่และวิวัฒนาการด้านฮาร์ดแวร์ของเครื่อง โทรศัพท์มือถือแล้วนั้นเทคโนโลยีในยุค 4G จะเน้นทางด้านการใช้งานและรูปแบบบริการส่วนบุคคลรวมถึงความเสถียรและคุณภาพ ในการให้บริการเป็นหลักแต่อย่างไรก็ตามเส้นทางในการก้าวไปสู่ยุค 4G นั้นก็ยังมีความท้าทายที่รออยู่หลายด้านอันจะได้กล่าวถึงต่อไป

ใน ช่วงสิบปีที่ผ่านมา เราได้เห็นความสำเร็จของระบบโทรศัพท์มือถือในยุค 2G ที่ได้ขยายตัวไปทั่วทุกมุมโลกอย่างรวดเร็วซึ่งเป็นเหตุให้มีการพัฒนา เทคโนโลยีสำหรับยุค 3G ตามมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน โดยตัวอย่างเทคโนโลยียุค 2G ที่เป็นที่รู้จักและมีการใช้งานกันอย่างแพร่หลายนั้นได้แก่ GSM, IS-95 และ cdmaOne ซึ่งทั้งหมดนี้ได้ถูกออกแบบมาเพื่อรองรับการสื่อสารด้านเสียงและการส่ง ข้อมูลแบบ low-bit-rate ส่วนระบบในยุค 3G นั้นได้ถูกออกแบบมาให้รองรับบริการสื่อสารข้อมูลความเร็วสูงสำหรับการรับ -ส่งข้อมูลและวิดีโอ

และในช่วงกลางระหว่างการเปลี่ยนแปลงจากยุค 2G ไปเป็นยุค 3G นั้นก็ได้มีวิวัฒนาการด้านระบบสื่อสารไร้สายมากมายหรือที่เรามักจะเรียกกัน ว่าเป็นเทคโนโลยีในยุค 2.5G ซึ่งมีความสามารถในการรองรับการสื่อสารและบริการด้านข้อมูลมากขึ้น เช่น GPRS, IMT-2000, บูลทูธ, แลนไร้สาย IEEE 802.11, ไฮเปอร์แลน และ ไวแม็ก (WIMAX) โดยแต่ละเทคโนโลยีนั้นได้ถูกพัฒนาขึ้นมาให้มีความสามารถเฉพาะเจาะจงกับการ ใช้งานและการบริการเฉพาะทาง ซึ่งต่างก็มีจุดเด่นที่ไม่สามารถที่จะหาเอาเทคโนโลยีอันหนึ่งอันใดมาแทนการ ใช้งานของเทคโนโลยีเหล่านี้ได้

ดังนั้น สำหรับการพัฒนาเทคโนโลยีในยุค 4G นั้นแทนที่จะมุ่งพัฒนาในด้านเทคโนโลยีคลื่นความถี่วิทยุอย่างที่เคยทำมาทั้ง กับเทคโนโลยีในยุค 2.5G และ 3G ก็ได้มีแนวคิดใหม่สำหรับระบบโทรศัพท์มือถือในยุค 4G ซึ่งน่าจะเป็นการรวมเอาเทคโนโลยีไร้สายต่างๆ ให้สามารถทำงานร่วมกันเป็นระบบเดียวและน่าจะเป็นวิธีที่มีความเป็นไปได้มาก ที่สุดโดยในปัจจุบันนี้ทีมวิจัยของบริษัทชั้นนำอย่าง NTT DoCoMo ก็กำลังดำเนินการวางกรอบของเทคโนโลยียุค 4G ในอนาคตอยู่เช่นกันแต่สุดท้ายแล้วจะออกมาเป็นแบบใดก็คงต้องติดตามกัน

ถ้า จะลองนึกภาพของเทคโนโลยียุค 4G นั้นก็น่าจะเป็นระบบเครือข่ายที่เป็น IP-based ทั้งหมดซึ่งจะทำให้ผู้ใช้บริการสามารถเข้าถึงระบบได้ทุกที่ทุกเวลาโดยอาศัย เครื่องโทรศัพท์ที่สามารถใช้งานได้กับทุกเทคโนโลยีและแอพพลิเคชันต่างๆบน โครงข่ายไร้สายทุกประเภทเหมือนๆ กับแนวคิดของโทรศัพท์มือถือที่ใช้งานได้แบบ Quad-Band ในปัจจุบัน แต่จะมีความสามารถมากกว่าในการรวมเอาหลากหลายเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน

นอก จากนี้ เทคโนโลยียุค 4G นั้นควรที่จะเน้นในการให้บริการด้านโทรคมนาคมรวมถึงการสื่อสารข้อมูลและ มัลติมีเดียด้วยโดยมีปัจจัยหลักในการให้บริการมัลติมีเดียที่ต้องการบริการ สื่อสารข้อมูลความเร็วสูงผ่านระบบที่มีความเสถียรรวมทั้งการบริการด้านเสียง และแอพพิเคชันแบบ low-bit-rate ที่จะต้องทำงานไปด้วยกันได้อย่างปกติด้วย

ทุก วันนี้จำนวนผู้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือได้มีการเพิ่มขึ้นอย่างมากและถ้าคิด ไปถึงอีก 5 ปีข้างหน้าก็เป็นไปได้ว่าคงจะมีอัตราการใช้งานมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของประชากรที่จะมีโทรศัพท์แบบพกพาใช้กัน ซึ่งนี่จะเป็นอีกจุดหนึ่งที่เทคโนโลยีในยุค 4G ต้องมีการเตรียมการสำหรับรูปแบบการให้บริการที่เหมาะสมของผู้ใช้แต่ละบุคคล คือ จะเป็นการสร้างรูปแบบบริการต่างๆ ให้กับกลุ่มผู้ใช้แบบเฉพาะเจาะจงหรือที่เรียกว่า Personalized Service

ทั้ง นี้ เนื่องจากว่าเมื่อฐานผู้ใช้บริการกว้างขึ้นก็จะทำให้เกิดความหลากหลายของวัย อาชีพ รสนิยม วิถีชีวิตที่แตกต่างกัน ดังนั้น ผู้ให้บริการจึงมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างรูปแบบบริการที่สามารถสนองตอบต่อ ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มให้ได้

ลองจินตนาการดูว่าถ้าผู้ใช้ โทรศัพท์ยุค 4G ที่กำลังมองหาข้อมูลเกี่ยวกับตารางเวลาภาพยนตร์จากโรงภาพยนตร์ที่ใกล้ที่สุด ซึ่งผู้ใช้นั้นสามารถที่จะใช้โทรศัพท์มือถือทำการเชื่อมต่อกับระบบไร้สายภาย นอกหลายๆ ระบบได้ ซึ่งอาจจะประกอบไปด้วยระบบพิกัดสถานที่ (Global Positioning System, GPS) สำหรับระบุตำแหน่งของผู้ใช้ในการเลือกโรงภาพยนตร์ที่ใกล้ที่สุด และระบบแลนไร้สายที่สามารถเชื่อมต่อกับฮอตสปอตที่ใกล้ที่สุดในการโหลด ตัวอย่างภาพยนตร์ และตารางฉายขึ้นมาดูรวมไปถึงระบบโทรศัพท์มือถือแบบซีดีเอ็มเอ (Code-Division Multiple Access, CDMA) สำหรับการโทรศัพท์ไปสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกับโรงภาพยนตร์นั้นๆ

ตัวอย่าง การใช้งานที่ได้กล่าวไปนั้นแท้จริงแล้วเป็นการใช้บริการต่างๆ จากหลากหลายผู้ให้บริการซึ่งแอพพลิเคชั่นแต่ละอย่างก็มีความแตกต่างทั้งใน ส่วนของระดับความปลอดภัยของข้อมูล การตั้งค่าของเครื่องลูกข่าย วิธีการคิดค่าใช้บริการซึ่งจริงๆ แล้วก็น่าจะเป็นการดีถ้าทุกสิ่งทุกอย่างนี้สามารถรวมกันได้ในแอพพลิเคชั่น ของเทคโนโลยีในยุค 4G แต่ก็ต้องรอให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีด้านฮาร์ดแวร์ของเครื่องโทรศัพท์มือถือ ที่สามารถสื่อสารได้กับทุกเทคโนโลยีไม่ว่าจะเป็น GSM GPRS CDMA UMTS หรือ แลนไร้สาย ตลอดจนต้องมีส่วนเชื่อมต่อที่สามารถใช้งานได้กับ สมาร์ตการ์ดหรือการ์ดหน่วยความจำต่างๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็คงต้องมีการใช้ซอฟต์แวร์ในการควบคุมการทำงานที่สามารถปรับ ให้เครื่องลูกข่ายสื่อสารกับทุกๆ เทคโนโลยีให้ได้

การโรมมิ่ง ระหว่างเครือข่ายผู้ให้บริการต่างๆ เช่น จากแลนไร้สายภายในอาคารสำนักงานออกไปสู่ระบบ GSM เมื่อก้าวออกนอกสำนักงานและผ่านระบบแลนไร้สายอีกครั้งเมื่อนั่งอยู่ใน รถไฟฟ้าใต้ดินโดยทั้งหมดนี้จะต้องมีการกำหนดวิธีการส่งต่อ (hand-off) ระหว่างโครงข่ายต่างๆ ซึ่งเทคโนโลยีเครือข่ายที่ได้มีการพัฒนามาช่วยในเรื่องนี้ก็คือ Mobile IPv6 (MIPv6) โดยนับได้ว่าเป็นมาตรฐานโพรโตคอลสำหรับ IP-Based ของโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายใต้หลักการมาตรฐานของ IP version 6 (IPv6) ซึ่งคาดว่าจะเริ่มมีการใช้งานใช้เชิงพาณิชย์ภายในไม่เกิน 1-2 ปีข้างหน้า

ส่วน ระบบการเรียกเก็บค่าบริการของผู้ให้บริการที่หลากหลายนั้นก็ต้องมีการเตรียม การล่วงหน้า ซึ่งดูแล้วคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างในปัจจุบันที่จะคิดค่าบริการแบบเหมาจ่าย คิดตามจำนวนเวลาหรือปริมาณข้อมูลที่รับ-ส่ง เพราะเมื่อมีบริการมากมายจากหลากหลายผู้ให้บริการแล้วความซับซ้อนของระบบ Billing System ที่อยู่เบื้องหลังนั้นคงจะเป็นเรื่องปวดหัวไม่เบาสำหรับนักการตลาดและนัก พัฒนาโปรแกรม

ทั้งนี้ เนื่องจากว่าผู้ใช้บริการไม่ได้ผูกติดอยู่กับผู้ให้บริการรายใดรายหนึ่ง อย่างในปัจจุบันแต่จะเป็นลูกค้าของผู้ให้บริการทุกรายที่รวมอยู่ในระบบ 4G และแนวทางหนึ่งที่น่าจะเป็นไปได้ก็คือต้องมีบริษัทกลางที่ทำหน้าที่เป็น Broker ในการรับชำระค่าใช้บริการและนำไปแบ่งจ่ายให้กับผู้ให้บริการแต่ละรายต่อไป ซึ่งก็คงจะคล้ายๆ กับบริษัท Broker ในการซื้อ-ขายหุ้นในปัจจุบันนั่นเอง

สำหรับ อัตราค่าใช้บริการนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีความซับซ้อนและอ่อนไหวมาก เพราะจะต้องเหมาะสมในด้านธุรกิจ การตลาดและระบบ Billing System ที่จะต้องมีความคล่องตัวมากพอในการปรับแต่งค่าต่างๆ ตามโปรโมชั่นและแผนการตลาดของผู้ให้บริการแต่ละราย นอกจากนี้ยังมีอีกแนวความคิดหนึ่งที่เทคโนโลยีในยุค 4G น่าจะมีออกมาให้บริการได้ซึ่งนั่นก็คือ Personal Mobility ที่การสื่อสารไม่ได้ยึดติดอยู่กับอุปกรณ์ PDA โน้ตบุ๊ก หรือโทรศัพท์มือถือแต่จะเป็นการติดตามตัวผู้ใช้บริการเอง

เช่น ถ้ามีการส่งวิดีโอเมล์ไปให้ผู้รับตัวระบบจะตรวจสอบว่าในเวลานั้นๆ ผู้ใช้กำลังทำอะไรและอยู่ที่ใดแล้วจึงค่อยส่งวิดีโอเมล์นั้นไปยังอุปกรณ์ที่ กำลังทำงานอยู่ ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นไม่ว่าผู้ใช้จะอยู่ที่ใดหรือกำลังใช้อุปกรณ์อะไรอยู่ก็ ตามข้อความก็จะสามารถส่งถึงผู้รับได้อย่างถูกต้อง

ถึงจุดนี้ก็น่า ที่จะสรุปได้ว่าการพัฒนาไปสู่เทคโนโลยีเครือข่ายในยุค 4G นั้นต้องมีการศึกษาและพัฒนาในด้านต่างๆ ซึ่งอาจจะจัดหมวดหมู่ได้เป็นสามกลุ่มใหญ่คือเทคโนโลยีฮาร์ดแวร์ของเครื่อง โทรศัพท์มือถือที่จะต้องมีความสามารถในการเลือกสื่อสารกับระบบไร้สายต่าง ได้ และสำหรับในส่วนที่สองคือ ด้านระบบที่จะต้องมีการส่งต่อการให้บริการ (hand-off) ระหว่างโครงข่ายตลอดจนสามารถรักษาระดับคุณภาพของแอพพลิเคชั่นต่างๆ ได้ไม่ว่าจะมีการส่งต่อการให้บริการไปอย่างไร

ในส่วนสุดท้ายก็คือ ระบบ Billing System และบริการติดตามผู้ใช้ Personal Mobility ที่จะต้องอาศัยความสามารถของซอฟต์แวร์ในการควบคุมการทำงานของอุปกรณ์ทุกชิ้น ในระบบเครือข่ายเพื่อให้สามารถบรรลุจุดประสงค์ในการสร้างบริการรูปแบบใหม่ๆ ต่อไปได้

ที่มา:http://www.ecommerce-magazine.com/index.php?option=com_content&task=view&id=328&Itemid=37

เทคโนโลยีไร้สาย ยุค1G - 4G 13

สุดยอดสมรรถนะกับระบบสื่อสารยุค 4G


จากความสำเร็จในการพัฒนาระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุค 3G ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายระบบตามคุณสมบัติทางเทคนิคที่แตกต่างกันไปภายใต้กลุ้ม IMT-2000 (International Mobile Telecommunications for the yeer 2000) ทำให้บริษัทผู้ให้บริการระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่มีรูปแบบบริการใหม่ ๆ เสนอต่อผู้ใช้ได้หลากหลาย ดังที่เราจะเห็นบริการใหม่ ๆ ที่มีในโฆษณาต่าง ๆ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าบริษัทผู้ให้บริการได้ทำการพัฒนา หรืออัปเกรดโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือไม่

ขณะเดียวกันเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้ใช้ก็ต้องมีคุณสมบัติรองรับการ ใช้บริการต่าง ๆ จึงจะสามารถใช้บริการนั้น ๆ ได้ และในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ บริษัทชั้นนำต่าง ๆ ที่ทำธุรกิจด้านระบบสื่อสารทั่วไป มีทั้งบริษัทที่เป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ต่าง ๆ และบริษัทที่เป็นผู้ให้บริการ ได้มีการพัฒนาระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ต่อจากยุค 3G อย่างต่อเนื่อง จนเข้าสู่ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคที่สี่หรือระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุค 4G เพื่อให้โครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่มีสมรรถนะเพิ่มมากขึ้น

ที่มา:http://kmcenter.rid.go.th/kcitc/2009/index.php?option=com_content&view=article&id=174:-4g&catid=22:2009-09-03-06-53-44&Itemid=15

เทคโนโลยีไร้สาย ยุค1G - 4G 12

ในการพัฒนาเทคโนโลยี 4G ของ GSM กับ CDMA นั้น ยังคงแข่งขันกันอยู่ต่อไป กล่าวคือ

GSM จะพัฒนาสู่ 4G โดยใช้รูปแบบการเข้าถึง (access type) เป็น UMTS LTE (Universal Mobile Telephone System – Long term Evaluation) คาดหมายว่า จะสามารถทำความเร็วในการดาวน์ลิงค์ / อัพลิงค์ได้ที่ 100 mbps / 50 mbps

ในขณะที่ CDMA ใช้รูปแบบการเข้าถึงเป็น CDMA EV-DO Rev.C (กล่าวคือ เป็น UMB หรือ Ultra-mobile broadband) และมีความเร็วในการดาวน์ลิงค์ / อัพลิงค์ที่ 129 mbps / 75.6 mbps

ตัวเลขความเร็วของทั้งสองค่ายจะเป็นราคาคุยหรือไม่คงต้องติดตามผลกันต่อไป

หาก 4G จะเกิดจากการรวม WiMax เข้ากับ 3G

ท่ามกลางกระแสการแข่งขันระหว่างเทคโนโลยี 3G ที่กำลังถูกเทคโนโลยีใหม่อย่างไวแมกซ์ (WiMAX) เข้ามาตีเสมอ และในอนาคตมีแนวโน้มว่าจะมีโอกาสมาเหนือกว่า 3G อีกด้วย

นัก วิเคราะห์และผู้เกี่ยวข้องในวงการโทรคมนาคมหลายกลุ่ม กล่าวกันถึงขนาดที่ว่า ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่เซลลูลาร์ของหลายประเทศที่ปัจจุบันครองตลาด ส่วนใหญ่ของประเทศหรือมีอำนาจเหนือตลาดคงจะไม่ยอมให้บริการไวแมกซ์เกิดขึ้น ในตลาดได้ง่ายๆ ประกอบกับบางประเทศยังมีปัญหาต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคต่อการให้บริการไวแมกซ์ เช่น แผนเลขหมายแห่งชาติที่มีการจัดสรรความถี่ให้กับบริการไวแมกซ์ กฎ ระเบียบในการกำกับดูแลเพื่อให้เกิดความเรียบร้อยและมีการแข่งขันที่เป็นธรรม และความพร้อมในการลงทุนของผู้ให้บริการ เป็นต้น

หากจะรวมกันจริงๆแล้ว หลายฝ่ายยังมีความเชื่อว่า 3G คงจะไม่ถึงกับไปรวมอยู่ใต้เทคโนโลยีที่เป็นหนึ่งเดียว เนื่องจาก 4G ควรจะเป็นเทคโนโลยีที่สามารถเข้าถึงได้ที่ระดับความเร็วอิเธอร์เน็ต (เช่น 10 Mbps) และใช้งานร่วมกัน (integrated) ได้ทั้งในลักษณะที่เป็นเครือข่ายท้องถิ่นหรือแลน (LAN – local area network) กับแวน (WAN – wide area network) แบบไร้สาย ด้วยการรวมเทคโนโลยี 3G และ WiMAX เข้าด้วยกันในเครื่องเดียวกัน

โดยมาตรฐานของ WiMax หรือ 802.16 สามารถให้บริการด้านบรอดแบนด์ไร้สายได้ไกลถึง 30 ไมล์ด้วยความเร็วประมาณ 10 Mbps

สิ่งที่ยังเป็นปัญหาอยู่สำหรับบริการ WiMAX มี หลายประการที่ต้องมีการพัฒนาต่อไปจากที่สามารถแก้ปัญหาบางอย่างได้ในระดับ หนึ่งแล้ว เช่น ตัวมาตรฐานเองที่ยังไม่ค่อยนิ่งเท่าใดนัก การพัฒนาอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องของโครงข่าย (ซึ่งรวมถึงตัวเครื่องลูกข่ายด้วย) การเคลื่อนที่ของลูกข่ายจากสถานีฐานหนึ่งไปยังอีกสถานีฐานหนึ่งโดยไม่มีปัญหาสายหลุดหรืออาการสัญญาณสะดุด เป็นต้น

จึงเป็นที่เชื่อได้ว่าในขณะนี้คงต้องรอให้มาตรฐานเทคโนโลยี WiMAX ผ่านกระบวนการพัฒนาจนถึงขั้นเป็นมาตรฐานที่สมบูรณ์ (mature) แล้ว อาจเป็นไปได้ที่จะมีความพยายามนำเทคโนโลยี 3G และ WiMAX มาผสมผสานกันเป็น 4G หากกลุ่มที่พัฒนา 4G ไม่รีบชิงพัฒนา 4G หนีการรวมตัวกับ WiMAX ไปเสียก่อน


ที่มา:http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=121&post_id=24248

เทคโนโลยีไร้สาย ยุค1G - 4G 11

แน่นอนที่ว่า คงจะไม่ใช่แนวคิดของ 4G ที่ หลายฝ่ายตั้งความหวังไว้ เพราะอย่างน้อยที่เห็นได้ชัดเจนอย่างหนึ่งคือ เทคโนโลยีทั้งสองยังไม่สามารถรองรับความเร็วในการสื่อสารข้อมูลที่ดาวน์ ลิงค์/อัพลิงค์ (downlink/uplink) ขณะกำลังเคลื่อนที่ในกรณีของ GSM ที่ 100 mbps/50 mbps และกรณี CDMA ที่ต้องการให้เหนือกว่า GSM โดยจะให้มีความเร็วเป็น 129 mbps/75.6 mbps

ทำไมจึงอยากได้ 4G

เป็นคำถามที่น่าสนใจ มีเหตุผลอะไรจึงอยากได้เทคโนโลยีโทรศัพท์เคลื่อนที่ในยุคที่ 4 หรือ 4G กันมาก ถ้าจะสรุปเป็นคำตอบก็คงจะได้หลายประการด้วยกัน ซึ่งจะกล่าวถึงพอเป็นสังเขปดังนี้

1. สนับสนุนการให้บริการมัลติมีเดียในลักษณะที่สามารถโต้ตอบได้ เช่น อินเทอร์เน็ตไร้สาย และ เทเลคอนเฟอเรนซ์ เป็นต้น

2. มีแบนด์วิทกว้างกว่า สามารถรับ-ส่งข้อมูลด้วยอัตราความเร็ว (bit rate) สูงกว่า 3G

3. ใช้งานได้ทั่วโลก (global mobility) และ service portability

4. ค่าใช้จ่ายถูกลง

5. คุ้มค่าต่อการลงทุนด้านโครงข่าย

พัฒนาการของ 4G สำหรับมาตรฐานต่างๆ

หาก พิจารณาในบริบทของมาตรฐานเทคโนโลยีระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่เซลลูลาร์แบบดิจิ ทัลที่ใช้งานกันอยู่ในขณะนี้ ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ค่ายใหญ่ๆ คือ จีเอสเอ็ม (GSM) และ ซีดีเอ็มเอ (CDMA) แล้วสามารถสรุปเป็นตารางเปรียบเทียบลำดับพัฒนาการของมาตรฐานได้ดังตารางข้างล่างนี้


ที่มา:http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=121&post_id=24248

เทคโนโลยีไร้สาย ยุค1G - 4G 10

4G ( Forth Generation )

เทคโนโลยี 4จี เป็นเครือข่ายไร้สายความเร็วสูงชนิดพิเศษ หรือเป็นเส้นทางด่วนสำหรับข้อมูลที่ไม่ต้องอาศัยการลากสายเคเบิล โดยระบบเครือข่ายใหม่นี้ จะสามารถใช้งานได้แบบไร้สาย รวมถึงคุณสมบัติการเชื่อมต่อเสมือนจริงในรูปแบบสามมิติ (three-dimensional) ระหว่างผู้ใช้โทรศัพท์ด้วยกันเอง นอกจากนั้น สถานีฐาน ซึ่งทำหน้าที่ในการส่งผ่านสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่จากเครื่องหนึ่งไปยังอีก เครื่องหนึ่ง และมีต้นทุนการติดตั้งที่แพงลิ่วในขณะนี้ จะมีให้เห็นกันอย่างแพร่หลายเช่นเดียวกับหลอดไฟฟ้าตามบ้านเลยทีเดียว สำหรับ 4จี จะสามารถส่งผ่านข้อมูลแบบไร้สายด้วยระดับความเร็วสูงที่เพิ่มขึ้นถึง 100 เมกะไบต์ต่อวินาที ซึ่งห่างจากความเร็วของชุดอุปกรณ์ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ที่ระดับ 10 กิโลบิตต่อวินาที

ลักษณะเด่นของ 4G

4G คือ Forth Generation ซึ่งในบ้านเรายังไม่มีให้เห็นกัน เมื่อพูดถึงเทคโนโลยีสื่อสารในยุค 4G เรื่องความเร็วนั้นเหนือกว่า 3G มาก คือทำความเร็วในการสื่อสารได้ถึงระดับ 20-40 Mbps เมื่อเทียบกับความเร็วที่ได้จาก 3G นั้นคนละเรื่องกันเลย ที่ญี่ปุ่นนั้นเครือข่ายโทรศัพท์ที่ใช้เทคโนโลยี 4G สามารถให้บริการรับชมรายการโทรทัศน์ผ่านมือถือได้แล้ว หรือจะโหลดตัวอย่างภาพยนตร์มาชมบนโทรศัพท์มือถือก็มีให้เห็นเช่นกัน ทำไมญี่ปุ่นถึงรีบกระโดดไปสู่ยุค 4G กันเร็วเหลือเกิน คำตอบง่าย ๆ ก็คือ “ดิจิตอลคอนเทนต์” เป็นตัวผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นนั่นเอง เมื่อผู้ให้บริการหลายหลายรูปแบบที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยจำเป็นต้องอาศัยเครือข่ายที่มีความเร็วสูง สามารถรับส่งข้อมูลได้ในปริมาณมาก ๆ ดังนั้น การผลักดันตัวเองให้เข้าสู่ยุค 4G ที่ใช้เทคโนโลยีที่เหนือกว่า 3G ก่อนคู่แข่ง น่าจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุด

ความ โดดเด่นของ 4G คือ ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานบนเครือข่ายที่กินพื้นที่กว้างก็ได้หรือจะทำเป็น เครือข่ายขนาดย่อม ๆ แบบ WLAN ได้อีกด้วย นั่นจึงทำให้หลายคนมองว่า 4G จะมาเบียดเทคโนโลยีของ Wi-Fi หรือไม่ เพราะสามารถใช้งานได้ทั้งสองแบบ

อย่าง ไรก็ตามในประเทศไทยยังคงอิงกับมาตรฐานของ 3G อยู่ ซึ่งยังไม่มีทีท่าว่าจะขยับขยายไปสู่ยุค 4G เลย เพราะว่า Wimax กำลังเข้ามานั่นเอง ระบบสื่อสารแห่งอนาคตที่ให้ความยืดหยุ่นสูง สามารถครอบคลุมพื้นที่ได้กว้างไกล ความเร็วในการสื่อสารสูงสุดในขณะนี้

ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ทำไมไม่รวมเทคโนโลยี 3G กับ WiMAX เข้าด้วยกัน และพัฒนาให้เป็น “interim 4G” หรือ 4G เฉพาะกิจ เพื่อไปเร่งพัฒนา “4G ตัวจริง (Real 4G) กันออกมาไม่ดีกว่าหรือ จึงเป็นเสียงที่คิดดังๆจากหลายกลุ่มในปัจจุบัน

ที่มา:http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=121&post_id=24248

เทคโนโลยีไร้สาย ยุค1G - 4G 9

WCDMA
วายแบนด์ซีดีเอ็มเอ - Wideband Code-Division Multiple Access

เป็นเทคโนโลยีซีดีเอ็มเอที่มีมาตรฐานตามข้อ กำหนดของไอทียู และเป็นที่รู้จักอย่างเป็นทางการในชื่อว่า IMT-2000 WCDMA เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารระบบไร้สายในยุคที่ 3 และมีประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลแบบไร้สายผ่านโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์ ไร้สายความเร็วสูง โดยมีประสิทธิภาพการทำงานเหนือกว่าเทคโนโลยีทั่วไปที่ใช้ในตลาดในปัจจุบัน

วายแบนด์ซีดีเอ็มเอมีประสิทธิภาพในการสื่อ สารรับส่งสัญญาณเสียงภาพข้อมูลและภาพวิดีโอด้วย ความเร็วสูงถึง 2 เมกกะบิตต่อวินาที แต่สำหรับการให้บริการในปัจจุบันความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 384 กิโลบิตต่อวินาที (แนวกว้าง wide area access) โดยสัญญาณขาเข้าจะถูกแปรเป็นสัญญาณดิจิตอลและส่งไปเป็นรหัสผ่านแถบคลื่น สัญญาณกระจายไปสู่คลื่นความถี่ต่างๆ
ผู้ให้บริการเทคโนโลยีนี้จะใช้แถบ คลื่นสัญญาณที่ 5 MHz ซึ่งต่างจากผู้ให้บริการที่ให้บริการเทคโนโลยีซีดีเอ็มเอในย่านความถี่แคบ ที่ใช้ช่องสัญญาณที่ 1.25 MHz

NTT DoLoMo เป็นผู้ให้บริการรายแรกที่เปิดให้บริการ WCDMA ในเชิงพาณิชย์ ในปี 2001 จนในปัจจุบันมีผู้ให้บริการถึง 65 รายทั่วโลก

พัฒนาการก้าวต่อไปของเทคโนโลยี WCDMA จะนำไปสู่ความสามารถในการส่งข้อมูลที่ความเร็วสูงขึ้น ซึ่งเรียกว่า HSDPA (High Speed Downlink Packet Access) ซึ่งสามารถส่งข้อมูลด้วยความเร็วสูงถึง 1.8 - 14.4 Mbps


การก้าวกระโดดของเทคโนโลยี GSM

WCDMA เป็นระบบ 3G ของฝั่งระบบ GSM การพัฒนาสู่ 3G ของระบบ GSM นั้นจะต้อง "เปลี่ยน" ระบบไปเป็น WCDMA

และเพราะ WCDMA เป็นการพัฒนาเข้าสู่ 3G ของระบบ GSM นี่เอง ทำให้ผู้เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ทั้งหลาย กำหนดให้ระบบ GSM สามารถ ทำงานร่วมกับระบบ WCDMA ได้ ในช่วงที่กำลังเกิด "รอยต่อ" หรือ ช่วง "พลัดเปลี่ยน" เทคฯ และเหตุนี้เองจึงทำได้เกิดมือถือแบบ Dual Mode (GSM/WCDMA) ขึ้นมาอย่างที่เราเห็นๆกันอยู่

"เราจึงเรียก WCDMA ว่าเป็นระบบ 3G ของฝั่งระบบ GSM"


ส่วนระบบ cdma2000 มันพัฒนามาจาก cdmaOne <หรือ cdma ธรรมดา (IS-95)>
และการพัฒนาสู่ 3G ของเจ้า cdma นี้ "ไม่ต้อง" เปลี่ยนเทคฯ การพัฒนาจึงแค่ "อัพเกรด" ไปตามสเตปของมันดังนี้...

cdma > cdma2000 1x > cdma2000 1xEV-DO ฯลฯ


...พูดง่ายๆก็คือเทคโนโลยีมันมาคนสายกันเรียกว่า "ฝั่งใครฝั่งมัน"


ภาพนี้เป็น Road Map ของการพัฒนาจาก 2G สู่ 3G
ของทั้ง 2 ฝั่งเทคโนโลยี


ที่มา:http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=121&post_id=24247

เทคโนโลยีไร้สาย ยุค1G - 4G 8

CDMA2000 1xEV-DO

ย่อมาจาก First Evolution, Data Optimized

โดยระบบ 1x EV-DO เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายที่มีระบบการส่งสัญญาณข้อมูลแบบแพคเก็ต ที่มีประสิทธิภาพและความเร็วสูง ต้นทุนต่ำเหมาะสำหรับผู้บริโภคทั่วไปรวมถึงผู้ใช้ที่ต้องการรับ - ส่งข้อมูลความเร็วสูงผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ให้สามารถเชื่อมโยงเข้าสู่ อินเตอร์เน็ตแบบไร้สาย ได้ครอบคลุมพื้นที่กว้างไกล

1xEV-DO เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนามาจากเทคโนโลยี CDMA 2000 และเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีตระกูล CDMA 2000 ที่ได้รับการยอมรับจากสมาพันธ์โทรคมนาคมระหว่างประเทศ ( ITU ) ให้เป็นเทคโนโลยีที่ได้มาตรฐาน การสื่อสารไร้สาย ยุค 3 G

CDMA 20001xEV-DO ให้บริการรับ-ส่งข้อมูลไร้สาย ที่มีประสิทธิภาพและความเร็วสูง พร้อมด้วยรูปแบบการใช้งานที่ง่ายโดยมีลักษณะการทำงาน ที่ใกล้เคียงกับการใช้งานบนอินเตอร์เน็ตแบบใช้สาย อุปกรณ์การสื่อสารที่รองรับระบบ ยังสามารถใช้งานร่วมกับอุปกรณ์ การสื่อสารไร้สายประเภทอื่น ๆ อาทิ โทรศัพท์มือถือ เครื่องพีดีเอที่รองรับการทำงานทั้งข้อมูลและเสียง คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค รวมถึงโมเด็มสำหรับรับ -ส่งข้อมูลได้แก่ การ์ด PCMCIA และโมเด็มแบบ stand-alone

การ ใช้งานเทคโนโลยี 1xEV-DO เชิงพาณิชย์เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อเดือนมกราคม ปี พ.ศ. 2545 จวบจนกระทั่งในปัจจุบัน มีผู้ใช้ บริการการสื่อสารเคลื่อนที่ระบบ 1xEV-DO มากกว่า9 ล้านคน และคาดว่าจะผู้เปิดให้บริการระบบนี้ อีกหลายเครือข่ายภายในปีนี้ และปีหน้า

สำหรับผู้ที่ต้องการบริการส่งข้อมูลความเร็วสูง หรือต้องการเพิ่ม ประสิทธิภาพการส่งข้อมูล ระบบ CDMA2000 1xEV-DO จะ ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถส่งข้อมูลได้มากกว่า Mbps โดยมีค่า เฉลี่ยความเร็วมากกว่า 700 kbps เทียบเท่ากับการส่งสัญญาณ ด้วยสายแบบ DSL และมีความเร็วเพียงพอที่จะรองรับการใช้งาน ที่ต้องการประสิทธิภาพ ในการส่งข้อมูลความเร็วสูง อาทิ ภาพ วิดีโอ และการดาวน์โหลดข้อมูลขนาดใหญ่ ทั้งนี้ การส่งข้อมูลด้วย ระบบ CDMA20001xEV-DO นับเป็นเทคโนโลยีการส่งข้อมูล ที่มีต้นทุนต่ำสุด เมื่อคิดเป็นต้นทุนต่อเมกะไบต์ ซึ่งปัจจัยดังกล่าว เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การใช้อินเตอร์เน็ตไร้สายเป็นที่แพร่หลาย อย่างรวดเร็ว อุปกรณ์ 1xEV-DO ยังมีการเชื่อมโยงข้อมูลแบบ แพคเก็ท "always-on" ซึ่งช่วยให้การใช้ระบบไร้สาย มีความ สะดวกรวดเร็ว และเกิดประโยชน์มากยิ่งขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา

ที่มา:http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=121&post_id=24246


เทคโนโลยีไร้สาย ยุค1G - 4G 7

CDMA2000 1X

เทคโนโลยีซีดีเอ็มเอที่มีอยู่ในเมืองไทยและ ผู้บริโภคสามารถใช้บริการได้แล้วในขณะนี้คือ CDMA2000 1X ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสื่อสารไร้สายที่สามารถให้บริการทั้งทางเสียงและข้อมูล ที่มีความก้าวหน้ามากที่สุดบริการหนึ่งในขณะน

เทคโนโลยี CDMA2000 1X

รองรับให้บริการทั้งทางเสียงและข้อมูล โดยอาศัยเพียงแถบความถี่ ขนาด 1.25 เมกกะเฮิร์ตซ นอกจากนี้ยังมีประสิทธิภาพรองรับผู้ใช้บริการได้มากกว่าระบบ cdmaOne ถึง 2 เท่าและมากกว่าเทคโนโลยีจีเอสเอ็มหลายเท่าตัว ด้วยความสามารถ ดังกล่าว จึงพร้อมจะให้บริการทางเสียง ขณะเดียวกัน CDMA20001X ยังเป็นเทคโนโลยีที่สนับสนุนการใช้บริการอินเตอร์เน็ตไร้สาย บริการมัลติมีเดีย และบริการข้อมูลในรูปแบบต่างๆ เพื่อรองรับการใช้งานในหน่วยงานหรือองค์กรธุรกิจ รวมทั้งประชาชนทั่วไป เนื่องจากสามารถส่งความเร็วที่สูงกว่าระบบอื่น

เทคโนโลยี CDMA2000 1X สามารถให้บริการข้อมูลไร้สายด้วยความเร็วเฉลี่ย 50 - 90 กิโลบิตต์ต่อวินาที โดยมีอัตราสูงสุดถึง 153 กิโลบิตต์ต่อวินาที ปัจจุบันมีโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ CDMA2000 1X มากกว่า 524 รุ่นจำหน่ายทั่วโลก โดยมีทั้งโทรศัพท์หลากหลายรูปแบบ อุปกรณ์รับส่งข้อมูลไร้สาย และโมเด็มไร้สาย ผู้ผลิตอุปกรณ์เหล่านี้ล้วนเป็นผู้ผลิตโทรศัพท์และอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ที่ มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีในระดับโลก ได้แก่ พานาโซนิค ซัมซุง ซันโย อีริคสัน โมโตโรล่า แอลจี เคียวเซร่า และโนเกีย เป็นต้น

นอกจาก นี้ยังมีบริษัทผู้เชี่ยวชาญที่ผลิต อุปกรณ์สำหรับรับส่งข้อมูลไร้สายโดยเฉพาะ เช่น Sanyo, Samsung, LG, GTRAN และเซียร์ร่า ไวล์เลส เป็นต้น


ที่มา:http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=121&post_id=24244

เทคโนโลยีไร้สาย ยุค1G - 4G 6

เทคโนโลยี 3G คืออะไร…?

  • 3G หรือ Third Generation
  • เป็นเทคโนโลยีการสื่อสารในยุคที่ 3
  • ยุคที่ 3 นั้นจะเป็นอุปกรณ์ที่ผสมผสาน การนำเสนอข้อมูล และ เทคโนโลยี ในปัจจุบันเข้าด้วยกัน
  • ใช้บริการมัลติมีเดีย และ ส่งผ่านข้อมูลในระบบไร้สายด้วยอัตราความเร็วที่สูงขึ้น

ลักษณะการทำงานของ 3G…

  • ช่องสัญญาณความถี่,ความจุในการรับส่งข้อมูลที่มากกว่า
  • ทำให้ประสิทธิภาพในการรับส่งข้อมูลแอพพลิเคชั่น รวมทั้งบริการระบบเสียงดีขึ้น
  • สามารถใช้ บริการมัลติมีเดียได้เต็มที่ และ สมบูรณ์แบบขึ้น
  • บริการส่งแฟกซ์, โทรศัพท์ต่างประเทศ, รับ-ส่งข้อความที่มีขนาดใหญ่,ประชุมทางไกลผ่านหน้าจออุปกรณ์สื่อสาร, ดาวน์โหลดเพลง, ชมภาพยนตร์แบบสั้นๆ

เทคโนโลยี 3G น่าสนใจอย่างไร

  • สามารถรับส่งข้อมูลในความเร็วสูง ทำให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปได้ อย่างรวดเร็ว และ มีรูปแบบใหม่ๆ มากขึ้น
  • สามารถให้บริการระบบเสียง และ แอพพลิเคชั่นรูปแบบใหม่ เช่น จอแสดงภาพสี, เครื่องเล่น mp3, เครื่องเล่นวีดีโอ การดาวน์โหลดเกม, แสดงกราฟฟิก และ การแสดงแผนที่ตั้งต่างๆ ทำให้การสื่อสารเป็นแบบอินเตอร์แอคทีฟ
  • สร้างความสนุกสนาน และ สมจริงมากขึ้น
  • ช่วยให้ชีวิตประจำวันสะดวกสบายและคล่อง ตัวขึ้น โดย โทรศัพท์เคลื่อนที่เปรียบเสมือน คอมพิวเตอร์แบบพกพา ,วิทยุส่วนตัว และแม้แต่กล้องถ่ายรูป
  • ผู้ใช้สามารถเช็คข้อมูลใน account ส่วนตัว เพื่อใช้บริการต่างๆ ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ เช่น self-care (ตรวจสอบค่าใช้บริการ), แก้ไขข้อมูลส่วนตัว
  • ใช้บริการข้อมูลต่างๆ เช่น ข่าวเกาะติดสถานการณ์, ข่าวบันเทิง, ข้อมูลด้านการเงิน, ข้อมูลการท่องเที่ยว และ ตารางนัดหมายส่วนตัว
  • คุณสมบัติหลักของ 3G คือ มีการเชื่อมต่อกับระบบเครือข่ายของ 3G ตลอดเวลาที่เราเปิดเครื่องโทรศัพท์ (always on) นั่นคือไม่จำเป็นต้องต่อโทรศัพท์เข้าเครือข่าย และ log-in ทุกครั้งเพื่อใช้บริการรับส่งข้อมูล
  • การเสียค่าบริการ จะเกิดขึ้นเมื่อมีการเรียกใช้ข้อมูลผ่านเครือข่ายเท่านั้น โดยจะต่างจากระบบทั่วไป ที่จะเสียค่าบริการตั้งแต่เราล็อกอินเข้าในระบบเครือข่าย

อุปกรณ์สื่อสารไร้สายระบบ 3G

  • mobile phone
  • PDA (Personal Digital Assistant )
  • Laptop
  • Palmtop
  • PC (Personal Computer)
ที่มา:http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=121&post_id=24212

เทคโนโลยีไร้สาย ยุค1G - 4G 5

รูปการเปรียบเทียบอัตราเร็วในการรับส่ง ข้อมูล จะเห็นว่า EDGE มีความสามารถที่เทียบเท่ากับ ระบบ W-CDMA ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรฐาน UMTS แต่ใช้เงินลงทุนที่น้อยกว่ามาก

ด้วยอัตราเร็วในการสื่อสารข้อมูลที่สูงขึ้น ผู้ให้บริการเครือข่ายจึงสามารถให้บริการรายงานข่าว, การรับส่งไฟล์รูปภาพและเสียงเพลง, พาณิชย์อิเล็คทรอนิคส์ที่มีสีสันมากขึ้น ไปจนถึงการเปิดให้บริการสนทนาโทรศัพท์แบบเห็นหน้ากัน (Video Telephony)

ข้อจำกัดของเครือข่าย 2.5G และ 2.75G
เกิด ขึ้นมาจากความพยายามพัฒนาเครือข่าย 2G เดิม ไม่ว่าจะเป็นมาตรฐาน GSM หรือ CDMA ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คุ้มค่าการลงทุน ทำให้ผู้ให้บริการเครือข่ายไม่อาจบริหารจัดการทรัพยากรเครือข่ายโทรศัพท์ เคลื่อนที่ได้อย่างคล่องตัว

เนื่องจากอุปกรณ์ที่มีการติดตั้งใช้งานมี การทำงานแบบ Time Division Multiple Access (TDMA) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเก่า ต้องจัดสรรวงจรให้กับผู้ใช้งานตายตัว ไม่สามารถนำทรัพยากรเครือข่ายมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
แม้เมื่อ มีการพัฒนาเทคโนโลยี GPRS และ EDGE ซึ่งถือเป็นการเสริมเทคโนโลยีสื่อสารข้อมูลแบบแพ็กเกตสวิตชิ่ง (Packet Switching) ที่มีความยืดหยุ่นในการสื่อสารข้อมูลแบบ Non-Voice แต่เทคโนโลยีทั้ง 2 ประเภทนี้ก็ถือว่าเป็นการ ต่อยอด บนเครือข่ายแบบเดิมที่มีการทำงานแบบ TDMA ทำให้ผู้ให้บริการเครือข่ายต้องพะวงกับการจัดสรรทรัพยากรช่องสื่อสาร ทำให้ไม่สามารถเปิดให้บริการแบบ Non-Voice ได้อย่างเต็มรูปแบบ เนื่องจากจะทำให้เกิดผลรบกวนต่อจำนวนวงจรสื่อสารแบบ Voice มากจนเกินไป ไม่มีผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ 2.5G หรือ 2.75G รายใดในโลก สามารถเปิดให้บริการเทคโนโลยี GPRS ด้วยอัตราเร็วสูงสุด
171 กิโลบิตต่อวินาที หรือ EDGE ด้วยอัตราเร็ว 384 กิโลบิตต่อวินาทีได้ เพราะจะทำให้สถานีฐาน (Base Station) ที่ทำหน้าที่รับส่งสัญญาณกับเครื่องลูกข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ ไม่มีวงจรสื่อสารเหลือสำหรับให้บริการแบบ Voice อีกต่อไป
ในขณะเดียว กันก็มีบริการสื่อสารอัตราเร็วสูงแบบบรอดแบนด์ผ่านคู่สาย เช่น DSL (Digital Subscriber Line) เป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้ใช้บริการ ผลที่เกิดขึ้นในมุมมองของผู้ใช้บริการก็คือความเชื่องช้าในการสื่อสารข้อมูล ผ่านเครือข่าย 2.5G
และ 2.75G ทำให้หมดความน่าสนใจที่จะใช้บริการต่อไป


ที่มา:http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=121&post_id=24211

เทคโนโลยีไร้สาย ยุค1G - 4G 4

เทคโนโลยีการติดต่อสื่อสารไร้สาย ยุค 2.75G

เป็นช่วงที่เริ่มมีการใช้เทคโนโลยี EDGE (Enhanced Data rates for Global Evolution)

EDGE นั้นถือเป็น เทคโนโลยีต่อยอดของ GPRS และถูกเรียกกันว่าเทคโนโลยียุค 2.75 G (อย่างไม่เป็นทางการ) เป็นทางเลือกก่อนก้าวเข้าสู่ยุค 3G อย่างต่อเนื่อง และคุ้มค่า

ความเร็วการส่งผ่านข้อมูลโดยประมาณของเทคโนโลยียุค 2.75G

ความเร็วในการส่งถ่ายข้อมูลสูงสุดประมาณ 384 กิโลบิตต่อวินาที (Kbps) และมีความเร็วในการใช้งานจริงประมาณ
80-100 กิโลบิตต่อวินาที (ความเร็วในการใช้งานจริงจะลดลงไปค่อนข้างมาก เนื่องจากระหว่างใช้งาน ระบบต้องแบ่งช่องสัญญาณบางส่วน ไปใช้งานทางด้านเสียงด้วย)

--------------------------------------------------------------------------------

EDGE

เทคโนโลยี EDGE (Enhanced Data rates for Global Evolution)
เทคโนโลยี EDGE เป็นเทคโนโลยีที่ใช้งานบนโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ TDMA (Time Division Multiple Access) เป็นระบบการแบ่งเวลากันใช้ในช่องสัญญาณเดียวกัน โดยเปรียบช่องสัญญาณให้เป็นเสมือนขนมชั้นที่ถูกวางอยู่ในแนวตั้ง เมื่อใดที่มีการใช้โทรศัพท์ เครื่องโทรศัพท์แต่ละเครื่องก็จะถูกจัดสรรเวลาให้ใช้ภายในช่องความถี่เดี่ยว กัน
เทคโนโลยี EDGE เป็นการปรับปรุงคุณภาพความเร็วจากพื้นฐานของเทคโนโลยี GPRS จึงกำหนดคำนิยามให้ EDGE ว่า ' การติดเทอร์โบให้กับ GPRS'

ข้อดีของระบบ TDMA

เวลาของผู้ใช้ทุกคนจะเท่ากันหมด ถือว่าทุกคนมีช่องเวลาที่ชัดเจนตายตัว จึงทำให้ง่ายต่อการจัดการข้อมูล โดยเฉพาะเรื่องของเสียง
อย่าง ไรก็ตาม เมื่อต้องใช้ส่งข้อมูลปริมาณมากๆ ปัญหาด้านความเร็วจึงได้เกิดขึ้น (เนื่องจาก TDMA ถูกจำกัดความเร็วต่อช่องสัญญาณที่ 9.6 กิโลบิตต่อวินาทีเท่านั้น) ผู้ประกอบการจึงหาวิธีแก้ปัญหาโดยการนำเอาช่องสัญญาณหลายๆ ช่องมารวมกัน เพื่อให้ได้ความเร็วที่สูงขึ้น ซึ่งนั่นคือที่มาของเทคโนโลยี GPRS (General Packet Radio Service) แต่ความเร็วของ GPRS ก็ยังจัดว่าเป็นความเร็วที่รองรับในส่วนของวิดีโอคลิปได้ไม่สมบูรณ์อยู่ดี จึงได้มีการนำเอาระบบ EDGE เข้ามา ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีต่อยอดของ GPRS

ลักษณะการทำงานของเทคโนโลยี EDGE

เป็นการบีบอัดข้อมูลในอัตราส่วน 3:1 เทคโนโลยี EDGE จะมีความเร็วในการส่งข้อมูลมากกว่า GPRS ประมาณ 3 เท่า หรือมีความเร็วสูงสุดประมาณ 384 กิโลบิตต่อวินาที
อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น GPRS หรือ EDGE ก็ตาม ความเร็วการส่งข้อมูลที่ได้บนการใช้งานจริงจะต่ำกว่านั้น เนื่องจากข้อจำกัดของระบบ TDMA ที่ต้องมีการแบ่งช่องสื่อสารสำหรับการใช้งานด้านเสียงไว้ด้วย (Technical Limited)
ข้อดีของเทคโนโลยี EDGE

ผู้ให้บริการระบบ TDMA (GSM) นั้น สามารถอัพเกรดระบบให้รองรับเทคโนโลยี EDGE ได้อย่างไม่ยุ่งยาก โดยจะประหยัดทั้งเวลา และค่าใช้จ่ายได้เป็นจำนวนมาก


ที่มา:http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=121&post_id=24211

เทคโนโลยีไร้สาย ยุค1G - 4G 3

ยุค 2.5G หลังจากนั้น ก็เป็นยุคก้ำกึ่งระหว่าง 2G และ 3G ... ซึ่ง2.5G นี้ เป็นยุคที่กำเนิดเทคโนโลยี GPRS (General Packet Radio Service) นั่นเอง ซึ่งตามหลักการแล้ว ... เทคโนโลยี GPRS นี้สามารถส่งข้อมูลได้ที่ความเร็วสูงสุดถึง 115 Kbps เลยทีเดียว แต่เอาเข้าจริงๆ ความเร็วของ GPRS จะถูกจำกัดให้อยู่ที่ประมาณ 40 kbps เท่านั้น

สรุป

  • การสื่อสารไร้สายยุค 2.5G ได้รับการพัฒนาต่อยอดมาจากเทคโนโลยีในระดับ 2G แต่มีประสิทธิ-ภาพด้อยกว่ามาตรฐานการสื่อสารไร้สายยุค 3G
  • โดยเทคโนโลยีในยุค 2.5G สามารถให้บริการรับส่งข้อมูลแบบแพคเก็ตที่ความเร็วระดับ 20 – 40 Kbps
  • สำหรับเทคโนโลยี 2.5G ที่มีใช้อยู่ตอนนี้ก็คือ
    -GPRS : (General Packet Radio Service) นับเป็นเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายในระดับ 2.5G
ที่มา:http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=121&post_id=24210

เทคโนโลยีไร้สาย ยุค1G - 4G 2

เทคโนโลยีการสื่อสารไร้สาร ยุค 2G

ยุค 2G จะ เปลี่ยนจากการส่งคลื่นทางคลื่นวิทยุแบบอะนาล็อกมาเป็นการเข้ารหัส Digital ส่งทางคลื่น Microwave

ซึ่งในยุคนี้เอง เป็นยุคที่เริ่มทำให้เราเริ่มที่จะสามารถใช้งานทางด้าน Data ได้ นอกเหนือจากการใช้งาน Voice เพียงอย่างเดียว
ใน ยุค 2G นี้ ... เราสามารถ รับ-ส่งข้อมูลต่างๆและติดต่อเชื่อมโยงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดการกำหนดเส้นทางการเชื่อมกับสถานีฐาน หรือที่เรียกว่า cell site และก่อให้เกิดระบบ GSM (Global System for Mobilization) (ไม่ใช่ชื่อผู้ให้บริการนะครับ) ซึ่งทำให้เราสามารถถือโทรศัพท์เครื่องเดียวไปใช้ได้เกือบทั่วโลก หรือที่เรียกว่า Roaming

สรุป

  • เป็นยุคที่พัฒนาต่อมาโดยการเข้ารหัสสัญญาณเสียง โดยบีบอัดสัญญาณเสียงในรูปแบบดิจิตอล
  • การติดต่อจากสถานีลูก หรือตัวโทรศัพท์เคลื่อนที่กับสถานีเบส ใช้วิธีการสองแบบคือ
    TDMA -Time Division Multiple Access คือการแบ่งช่องเวลาออกเป็นช่องเล็ก ๆ และแบ่งกันใช้ ทำให้ใช้ช่องสัญญาณความถี่วิทยุได้เพิ่มขึ้นจากเดิมอีกมาก
    CDMA - Code Division Multiple Access เป็นการแบ่งการเข้าถึงตามการเข้ารหัส และการถอดรหัสโดยใส่แอดเดรสหมือน IP
  • ในยุค 2G จึงเป็นการรับส่งสัญญาณโทรศัพท์แบบดิจิตอลหมดแล้ว
ที่มา:http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=121&post_id=24209

เทคโนโลยีไร้สาย ยุค1G - 4G

ยุค 1G

เป็นยุคที่ใช้ระบบอะนาล็อก คือใช้สัญญาณวิทยุในการส่งคลื่นเสียง โดยไม่รองรับการส่งผ่านข้อมูลใดๆทั้งสิ้น
ซึ่งนั่นก็หมายความว่าสามารถใช้งานทางด้าน Voice ได้อย่างเดียว คือ โทรออก-รับสาย เท่านั้น
ไม่ มีการรองรับการใช้งานด้าน Data ใดๆ ทั้งสิ้น .. แม้แต่การรับ-ส่ง SMS ก็ยังทำไม่ได้ในยุค 1G แต่จริงๆแล้ว ... ในยุคนั้น ผู้บริโภคก็ยังไม่มีความต้องการในการใช้งานอื่นๆ นอกจากเสียง (Voice) อยู่แล้วโดยปริมาณผู้ใช้โทรศัพท์มือถือยังอยู่ในขอบเขตที่จำกัดมาก และจะพบว่าผู้ใช้มักจะเป็นนักธุรกิจที่ มีรายได้สูงเสียส่วนใหญ่

สรุป

  • เป็นยุคแรกของการพัฒนาระบบโทรศัพท์แบบเซลลูลาร์
  • วิธีการมอดูเลตสัญญาณอะนาล็อกเข้าช่อง สื่อสารโดยใช้การแบ่งความถี่ออกมาเป็นช่องเล็ก ๆ ด้วยวิธีการนี้มีข้อจำกัดในเรื่องจำนวนช่องสัญญาณ และการใช้ไม่เต็มประสิทธิภาพ
  • ติดขัดเรื่องการขยายจำนวนเลขหมาย และการขยายแถบความถี่
  • โทรศัพท์เซลลูลาร์ยังมีขนาดใหญ่ ใช้กำลังงานไฟฟ้ามาก
  • ในภายหลังจึงเปลี่ยนมา

ที่มา:http://www.tlcthai.com/webboard/view_topic.php?table_id=1&cate_id=121&post_id=24208

โทรเลขไทยสู่ยุค3G 20

เจ้าหน้าที่โทรเลขตามที่ทำการไปรษณีย์ต่างๆ ให้ข้อมูลตรงกันว่า จำนวนการส่งโทรเลขในประเทศไทยลดลงอย่างช้าๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๗ เป็นต้นมา ก่อนจะลดลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงหลายปีให้หลัง สถิติล่าสุดคือในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ จำนวนการส่งโทรเลขในประเทศมีทั้งหมด ๘.๔ แสนครั้ง (ขณะที่ในปี พ.ศ. ๒๕๔๓ จำนวนการส่งอยู่ที่ ๒.๔๘ ล้านครั้ง)

“ยอดผู้ใช้บริการลดลงเรื่อยๆ เจ้าหน้าที่อย่างพวกผมไม่รู้ตัวหรอกครับ มันลงมาช้าๆ เหมือนกราฟที่ค่อยๆ ตกลง” วิรัญพงศ์ แสงอินทร์ เจ้าหน้าที่โทรเลขประจำที่ทำการไปรษณีย์ราชดำเนิน เล่าให้เราฟังในวันที่ไปเยี่ยมเยือน

อาจด้วยเหตุนี้ ข่าวคราวการยกเลิกบริการโทรเลขที่มีให้เห็นอยู่เป็นระยะในช่วง ๒ ปีที่ผ่านมา จึงอาจไม่ถือเป็นเรื่องน่าแปลกใจอย่างใด

คนในภาคธุรกิจการสื่อสารอย่าง วิจิตร เพิ่มเพียรเกียรติ มองเรื่องนี้ว่า

“สำหรับผม บริการโทรเลขถึงเวลาที่เราจะต้องนำไปรักษาเอาไว้ในพิพิธภัณฑ์ แค่ให้มันยังคงทำงานในขั้นสาธิตได้ก็พอ เช่น วางเครื่องส่งกับเครื่องรับไว้คนละห้อง แล้วแสดงให้คนที่มาเยี่ยมชมเห็นว่าโทรเลขทำงานได้อย่างไร แค่นั้นก็พอแล้วในความรู้สึกของผม”

ส่วนเด็กรุ่นใหม่อย่าง ศุภเกียรติ ศุภศักดิ์ศึกษากร หรือ “แบ๊งค์” นักศึกษาธรรมศาสตร์ปี ๓ บอกว่า “เคยเห็นตอนเรียนชั้นประถม ตอนนั้นบุรุษไปรษณีย์เป็นคนนำมาส่ง จำได้ว่าเป็นซองสีเขียว รู้สึกคล้ายซองที่ไว้ใช้ทวงค่าโทรศัพท์บ้านยุคนี้ พูดถึงระบบโทรเลขผมว่าล้าสมัย เพราะจะส่งข้อความตอนนี้ก็ใช้ SMS ได้ อย่าลืมว่าโทรศัพท์มือถือเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคนยุคนี้ไปแล้ว”

และสำหรับ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) ซึ่งรับผิดชอบงานด้านนี้โดยตรง ก็ให้คำตอบที่ค่อนข้างชัดเจนว่า โทรเลขคงถึงวาระที่จะต้องเลิก

สุภาพ เกษมุนี ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารข้อความ บมจ. กสท โทรคมนาคม กล่าวว่า

“เราไม่มีแผนพัฒนาโทรเลขแล้วนับจากนี้ คอมพิวเตอร์ที่ชุมสายโทรเลขอัตโนมัติก็ไม่มีการอัปเกรดอีก ตอนนี้เหลือเพียงการเสนอเรื่องตามขั้นตอนเท่านั้น เพราะโทรเลขเป็นบริการสาธารณะตาม ‘พระราชบัญญัติโทรเลขและโทรศัพท์ พ.ศ. ๒๔๗๗‘ ก่อนจะเลิกจึงต้องทำการศึกษาและสำรวจความเห็น รวมทั้งต้องแจ้งประเทศต่างๆ ที่ยังคงมีบริการโทรเลข ตอนนี้ผมบอกผลการสำรวจได้แค่ว่า สังคมไทยจะเสียแค่คำว่า ‘โทรเลข’ ไปเท่านั้น ส่วนตัวผมผูกพันนะครับ แต่ถ้าเก็บมันไว้ก็มีต้นทุนสูงมาก เรียกว่าไม่คุ้ม”


ปี พ.ศ. ๒๕๔๙ หลังจากมอร์สสร้างระบบโทรเลขได้ ๑๖๒ ปี การสื่อสารที่ทำให้คน “มาชิดเคียงกัน” วันนี้ มิใช่โทรเลขอีกต่อไป

แต่จะอย่างไร สำหรับเจ้าหน้าที่โทรเลข ไม่ว่าจะเป็นรุ่นที่ยังทำงานอยู่หรือรุ่นที่เกษียณไปแล้ว ความคุ้มค่า คุ้มทุนของโทรเลข คงไม่ใช่เรื่องสำคัญ

“มันเป็นความผูกพันครับ”

นี่คือถ้อยคำสุดท้ายที่เจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งบอกกับเรา ในช่วงเวลาที่วันพรุ่งนี้ของโทรเลขดูจะรางเลือนเต็มที...



ที่มา:http://www.sarakadee.com/web/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=514&page=2

โทรเลขไทยสู่ยุค3G 19

พฤศจิกายน ๒๕๔๘, ที่ทำการรับ-ส่งโทรเลขนครหลวงใต้

ใกล้ค่ำ ที่ชั้น ๓ บริเวณปีกซ้ายของตึกที่ทำการไปรษณีย์กลาง พรินเตอร์ยังคงส่งเสียงแกรกกรากท่ามกลางความเงียบและแสงรำไรที่สาดลอดเข้ามา ทางช่องหน้าต่างของที่ทำการรับ-ส่งโทรเลขนครหลวงใต้

เจ้าหน้าที่ยังคงทำงานกันต่อไปแม้จะเลยเวลาทำงานปรกติมานานแล้ว...

บนชั้น ๔ ซึ่งเป็นที่ตั้งศูนย์ถ่ายทอดโทรเลข ก็มีสภาพไม่แตกต่างกัน

จากที่เคยมีเจ้าหน้าที่นับร้อยผลัดเปลี่ยนกันเข้ากะปฏิบัติงานตลอด ๒๔ ชั่วโมง กงล้อของยุคสมัยก็ทำให้วันนี้เหลือพวกเขาอยู่เพียง ๔ คน เสียงก๊อกแก๊กของเครื่องส่งรหัสมอร์สและโทรพิมพ์หายไป เหลือเพียงเสียงเคาะแป้นอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์

ภารกิจยามเย็นของพวกเขาไม่มีอะไรมากไปกว่าการเคลียร์โทรเลขฉบับที่คั่ง ค้างอยู่ในระบบชุมสายโทรเลขอัตโนมัติอันเนื่องมาจากปัญหาขัดข้องทั้งหลาย (สายเสีย เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้รับโทรเลขปลายทางเสีย ฯลฯ)

“พวกเราชินแล้ว” เจ้าหน้าที่ท่านหนึ่งเอ่ยขึ้น

“เผลอๆ โทรเลขอาจจะเลิกพร้อมผมเกษียณกระมัง” เจ้าหน้าที่อีกท่านหนึ่งกล่าวติดตลก

เจ้าหน้าที่อีกคนหันมองคอมพิวเตอร์ราคา ๒๐ ล้านที่ตั้งอยู่ในห้องชุมสายโทรเลขอัตโนมัติ แล้วเปรยว่า “เหมือนขับรถเบนซ์ไปจ่ายตลาด”

เขาหมายถึงการที่รัฐต้องลงทุนกับระบบนี้มหาศาลแต่กลับมีคนใช้เพียงหยิบ มือ แต่ละปี คอมพิวเตอร์ขนาดเท่าห้องประชุมเล็กๆ นี้มีค่าบำรุงรักษาหลายล้านบาท ขณะที่รายรับกลับลดน้อยลงจนน่าตกใจ


ที่มา:http://www.sarakadee.com/web/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=514&page=2

โทรเลขไทยสู่ยุค3G 18

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานว่า บริการเสริมซึ่งกำลังกลายเป็นเนื้อหาหลักของเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่จะ มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงถึง ๑๔,๐๐๐ ล้านบาทในปี พ.ศ. ๒๕๔๙ นี้ และจะพัฒนาต่อไปโดยเชื่อมต่อกับอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น การรับ-ส่งอีเมลที่เคยทำผ่านคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ก็จะสามารถทำได้บนโทรศัพท์มือถือ และหากมีการเปิดให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุค 3G แล้ว รูปแบบของบริการเสริมก็จะได้รับการพัฒนาให้ก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น

อาจกล่าวได้ว่า เทคโนโลยียุค 3G จะทำให้เราก้าวไปไกลจากคำว่า “การสื่อสาร” ซึ่งเทคโนโลยีเดิมๆ เคยตอบสนองความต้องการของเรามาแล้ว

ขณะที่หลายคนอาจกำลังคิดว่า เทคโนโลยีการสื่อสารระดับนี้ “เกิน” จากความจำเป็นอยู่มาก ในเวลาเดียวกันก็ยังมีคนอีกไม่น้อยที่รอคอยการมาถึงของมัน วันนี้ หากคุณท่องอินเทอร์เน็ตแล้วแวะตามเว็บบอร์ดชื่อดังอย่าง pantip.com ก็จะพบกระทู้ที่ตั้งขึ้นเพื่อถามว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นใดสามารถรองรับ โครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุค 3G ได้บ้าง เพื่อที่จะซื้อเตรียมไว้ แม้ว่ายุค 3G จะยังเดินทางมาไม่ถึงเมืองไทยก็ตาม

ความต้องการ “เครื่องมือสื่อสาร” ที่ตอบสนองการใช้งานนอกเหนือจาก “การสื่อสาร” ที่ปรากฏชัดในคนรุ่นใหม่ รวมไปถึงพฤติกรรมการใช้งานที่ต่างจากคนยุคก่อน ทำให้หลายฝ่ายเริ่มมองว่า เทคโนโลยีการสื่อสารยุคใหม่เหล่านี้กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงความคิดและ พฤติกรรมผู้บริโภค ทั้งยังอาจส่งผลกระทบต่อสังคม ดังที่เคยปรากฏเป็นข่าวว่า มีเด็กสาวยอมขายตัวเพียงเพราะอยากได้โทรศัพท์มือถือรุ่นล่าสุดที่สามารถรอง รับบริการเสริมใหม่ๆ ได้เหมือนที่เพื่อนมี หรือกรณีที่เด็กรุ่นใหม่มีสมาธิสั้นลงเพราะมัวง่วนอยู่กับมือถือ ฯลฯ

ผศ. ดร. พิรงรอง รามสูตร อาจารย์ประจำภาควิชาวารสารสนเทศ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า

“การจะดูว่าเทคโนโลยีการสื่อสารใหม่ๆ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้ใช้ไปจริงหรือไม่ เราต้องพิจารณาบริบทและปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ทางสังคมด้วย เมื่อก่อนที่มีข่าวว่าเด็กสาวต้องขายตัวเพราะอยากได้มือถือ หลายคนมองว่านี่เกิดจากเทคโนโลยี ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่ มันเกิดจากกระบวนการสร้างความต้องการผ่านระบบการตลาดต่างหาก เทคโนโลยีการสื่อสารใหม่ๆ ที่เข้ามาอาจเป็นเพียงหนึ่งในหลายปัจจัยที่มีผลกระทบต่อพฤติกรรมผู้คนเท่า นั้น

“เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้าขึ้น มันก็มีทั้งด้านดีและด้านร้าย ดีคือการสื่อสารมีความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันมันก็ทำให้ชีวิตเราเบ็ดเสร็จมากขึ้น กระตุ้นให้คนบริโภคมากขึ้น และมีข้อมูลให้เรามากจนล้นเกิน อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างมันขึ้นอยู่กับตัวผู้ใช้ สิ่งสำคัญคือเราต้องรู้เท่าทันเทคโนโลยีเป็นดีที่สุด”

หากมองย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของเทคโนโลยีการสื่อสารเมื่อกว่า ๑๐๐ ปีก่อน ความน่าทึ่งของเครือข่ายโทรศัพท์ยุค 3G วันนี้ อาจไม่ต่างอะไรจากความน่าทึ่งของโทรเลขที่มีต่อผู้คนในยุคก่อน และการก้าวเข้ามาของยุค 3G ในอนาคตอันใกล้นี้ ในแง่หนึ่งก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าความเปลี่ยนแปลงตามวัฏฏะของโลก ต่างกันก็เพียงเป็นโลกแห่งเทคโนโลยีที่ทุกอย่างหมุนไปอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีใหม่ย่อมมาแทนที่เทคโนโลยีเก่า และเทคโนโลยีที่ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับความต้องการของผู้คนได้ ก็อาจจะต้องเหลือเพียงความทรงจำเท่านั้น...



ที่มา:http://www.sarakadee.com/web/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=514&page=2

โทรเลขไทยสู่ยุค3G 17

ปัจจุบันไทยก้าวเข้าใกล้ยุค 3G มากขึ้น ด้วยเทคโนโลยีการเข้ารหัสสัญญาณโทรศัพท์เคลื่อนที่แบบ GPRS และ EDGE ที่ทำให้เครือข่ายสามารถรองรับการส่งข้อมูลได้มากขึ้น (บางคนจึงเรียกโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคนี้ว่า 2.5Gและ 2.75G) และทำให้เกิดบริการเสริมใหม่ๆ มากมาย ทั้งนี้มีการคาดการณ์ว่า เมื่อถึงยุค 3G รูปแบบการบริการการสื่อสารของโทรศัพท์เคลื่อนที่จะครบวงจรมากยิ่งขึ้น คือสามารถรับส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับระบบคอมพิวเตอร์ เช่น เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต รับ-ส่งอีเมล รับ-ส่งข้อมูลความเร็วสูง หรือสามารถใช้ในการประชุมทางไกลแบบเห็นหน้ากันผ่านระบบ Video Conference มีโทรศัพท์แบบเห็นภาพ (Video Call) สามารถรับส่งสัญญาณภาพและเสียง (Video/Audio Content) เช่น ถ่ายทอดสดรายการโทรทัศน์และวิทยุ หนังสือพิมพ์อิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งข่าวสารและความบันเทิงต่างๆ ได้

นึกถึงเช้าวันหนึ่งที่เราเดินออกจากบ้านพร้อมโทรศัพท์มือถือ ระหว่างนั่งรถไปทำงาน เราอาจเปิดดูทีวีผ่านหน้าจอขนาดเล็ก ดาวน์โหลดเอกสารจากคอมพิวเตอร์ที่ทำงานมาดู ซื้อหนังสือพิมพ์ออนไลน์ฉบับเช้ามาอ่านฆ่าเวลารถติด หรือเลือกฟังตัวอย่างเพลงล่าสุดที่เพิ่งวางจำหน่าย แล้วสั่งซื้อซีดีผ่านทางโทรศัพท์มือถือเพื่อให้ทางร้านนำของมาส่งถึงประตู บ้านในตอนเย็น--หากเครือข่ายการสื่อสารของเราก้าวสู่ยุค 3G เรื่องสมมุติเหล่านี้อาจไม่ไกลเกินจริง


ที่มา:http://www.sarakadee.com/web/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=514&page=2

โทรเลขไทยสู่ยุค3G 16

โดยเฉพาะเมื่อถึงปี พ.ศ. ๒๕๔๒ ที่โทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบเติมเงินออกสู่ตลาด ผู้รู้ในธุรกิจการสื่อสารอย่าง ไพโรจน์ ไววานิชกิจ บอกว่า นี่คือปีที่เทคโนโลยีการสื่อสารรุ่นเก่าอย่างโทรเลข หรือแม้แต่เพจเจอร์ (Pager) ได้รับผลกระทบมหาศาล

“โทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบเติมเงิน ทำให้คนทุกกลุ่มครอบครองโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ โดยเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้น้อยและไม่ต้องการผูกพันเรื่องค่าใช้จ่ายรายเดือน เพราะสามารถคุมค่าใช้จ่ายในการโทรได้ ถ้าถามว่ามันได้รับความนิยมขนาดไหน บอกได้ว่าถ้าวันนี้ทั้งประเทศไทยมีโทรศัพท์เคลื่อนที่อยู่ ๑๐๐ เครื่อง จะมีโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบเติมเงินอยู่ราว ๘๐ เครื่อง โทรศัพท์เคลื่อนที่มีคุณสมบัติส่งข้อความสั้นๆ ได้ไม่ต่างจากโทรเลขหรือเพจเจอร์ แต่ที่สำคัญคือสามารถใช้โทรคุยได้ การหาซื้อโทรศัพท์เคลื่อนที่สักเครื่องย่อมดีกว่าเสียเงินค่าส่งโทรเลขบ่อยๆ หรือจ่ายเงินเพื่อครอบครองเครื่องมือสื่อสารทางเดียวในราคาไม่ต่างกันอย่าง เพจเจอร์”

สถิติที่น่าตกใจอีกอย่างก็คือ จำนวนเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ในปี พ.ศ. ๒๕๔๕ ได้แซงหน้าโทรศัพท์บ้านเป็นครั้งแรก โดยในปีนั้นเรามีโทรศัพท์บ้านราว ๘ ล้านเลขหมาย ขณะที่มีโทรศัพท์เคลื่อนที่อยู่ราว ๑๗ ล้านเลขหมาย ซึ่งถ้าเทียบกับเพียง ๑ ปีก่อนหน้า (พ.ศ. ๒๕๔๔) เรามีโทรศัพท์บ้าน ๗.๗ ล้านเลขหมาย ขณะที่โทรศัพท์เคลื่อนที่มีอยู่ ๗.๓ ล้านเลขหมายเท่านั้น ซึ่งนับเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด และถึงวันนี้ จำนวนเลขหมายโทรศัพท์เคลื่อนที่ก็ได้พุ่งขึ้นถึง ๓๐ ล้านเลขหมาย (จากประชากรทั้งประเทศ ๖๒ ล้านคน) ไปเรียบร้อยแล้ว

ในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ความก้าวหน้าของคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personeal Computer - PC) รวมถึงอินเทอร์เน็ตซึ่งเริ่มแพร่หลายมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๙ เป็นต้นมา ก็ทำให้เกิดการสื่อสารรูปแบบใหม่ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอีเมล หรือแม้กระทั่งการสนทนาผ่านอินเทอร์เน็ตแบบเห็นหน้าเห็นตากัน (web cam) ได้ทุกที่ทั่วโลก ผ่านโปรแกรมที่พ่วงมากับผู้ให้บริการอีเมลอย่าง MSN Messenger ของ Hotmail ฯลฯ

สิ่งที่ตามมาคือ พฤติกรรมผู้ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารในไทยเริ่มก้าวข้ามคำว่า “การสื่อสาร” ออกไปทุกที โดยเฉพาะเมื่อโทรศัพท์เคลื่อนที่มีบริการเสริมใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาซึ่งเป็นผลพวงจากการพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารเข้าสู่ยุคดิจิทัล (2G) เช่น การส่งข้อความสั้น (Short Messaging Service) การส่งภาพเคลื่อนไหว หรือแม้แต่การเล่นอินเทอร์เน็ต (WAP)

รูปธรรมล่าสุดเกี่ยวกับพฤติกรรมการสื่อสารของคนยุคปัจจุบันปรากฏชัดจาก การชุมนุมในคืนวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ ที่ผ่านมา ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมได้นำคุณสมบัติของเทคโนโลยีการสื่อสารเหล่านี้มาใช้ให้ เป็นประโยชน์สูงสุดเพื่อต่อต้านการปิดกั้นข้อมูลข่าวสารทุกรูปแบบ

ใครที่ไปร่วมชุมนุมที่ลานพระบรมรูปทรงม้า หรือติดตามข่าวคราวผ่านอินเทอร์เน็ต ก็คงจะได้พบว่า เว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการ (www.manager.co.th) มีการเปิดรับข้อความภาพ (Multimedia Messaging Service-MMS) ทางโทรศัพท์เคลื่อนที่จากคนไทยทั้งในและต่างประเทศ โดยภาพเหล่านั้นจะถูกส่งขึ้นไปโชว์บนหน้าเว็บเพื่อเผยแพร่ออกไปทั่วโลก

ในเอกสารคู่มือของผู้จัดการชุมนุมยังระบุชัดว่า “โทรศัพท์มือถือเป็นอาวุธประจำกายของชาวประชาธิปไตยที่ทรงพลานุภาพที่สุดใน ยุคการปิดกั้นข้อมูลข่าวสาร เพราะไม่ว่าเขาจะปิดข่าวทางวิทยุหรือโทรทัศน์ แต่เราสามารถใช้เสียงรายงานไปยังเพื่อนฝูงโดยตรง ไม่เพียงเท่านั้น ยังสามารถ SMS แบบลูกโซ่ แจ้งข่าวและความเคลื่อนไหวของการชุมนุม...”

สอดคล้องกับที่เจ้าพ่อวงการซอฟต์แวร์โลกอย่างนายบิลล์ เกตส์ แห่งบริษัท Microsoft ผู้คิดค้นระบบปฏิบัติการวินโดวส์ที่ใช้ในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมากกว่าครึ่ง โลก เคยกล่าวไว้ว่า “รัฐบาลในโลกยุคปัจจุบันไม่มีทางปิดกั้นข้อมูลข่าวสารที่ไหลเวียนอยู่ในระบบ การสื่อสารยุคใหม่ได้”

เมื่อเทคโนโลยีการสื่อสารวิวัฒน์มาถึงขั้นนี้ ก็คงไม่ต่างอะไรกับคลื่นลูกใหม่ที่ซัดคลื่นลูกเก่าให้จมหาย ...นี่ยังไม่นับถึงวันที่โลกของการสื่อสารไทยจะพลิกโฉมหน้าไปอีกครั้ง เมื่อเราก้าวสู่ยุค 3G


ที่มา:http://www.sarakadee.com/web/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=514&page=2

โทรเลขไทยสู่ยุค3G 15

1G คือยุคที่โทรศัพท์เคลื่อนที่ใช้เครือข่ายที่มีรูปแบบการรับ-ส่งข้อมูลแบบแอ นtล็อก (Analog) 2G คือยุคที่โทรศัพท์เคลื่อนที่ใช้เครือข่ายที่มีการรับ-ส่งข้อมูลรูปแบบดิจิ ทัล (ซึ่งทำให้สามารถรับ-ส่งข้อมูลได้มากขึ้น) ส่วน 3G นั้น คือยุคที่โทรศัพท์เคลื่อนที่ใช้เครือข่ายที่มีความสามารถในการรับ-ส่งข้อมูล สูงมาก จนสามารถรองรับการทำงานรูปแบบใหม่ๆ ได้มากมาย นอกเหนือไปจากการโทรเข้าโทรออกและการส่งข้อความสั้นซึ่งเป็นคุณสมบัติพื้น ฐานของโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุค 2G

จุดเปลี่ยนครั้งแรกของไทยเกี่ยวกับระบบการสื่อสารไร้สายเกิดขึ้นในปี พ.ศ. ๒๕๒๙ เมื่อองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยนำโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ NMT (Nordic Mobile Telephone) ย่านความถี่ ๔๗๐ เมกะเฮิรตซ์ (MHz) มาให้บริการเป็นครั้งแรก ซึ่งถือเป็นการเปิดยุคของการสื่อสารไร้สายอย่างจริงจังและเข้าสู่ยุค 1G เต็มตัว หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้มีการทดลองนำระบบโทรศัพท์ไร้สาย (Multi Access Radio Telephone) มาให้บริการประชาชนครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ แต่ไม่ได้รับความนิยมมากนัก ทั้งยังมีปัญหาเรื่องพื้นที่ให้บริการที่ไม่ครอบคลุมกว้างขวางพอ

ไพโรจน์ ไววานิชกิจ นักวิชาการอิสระที่ทำงานในแวดวงธุรกิจการสื่อสารมานาน เล่าถึงสภาพการใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคนั้นว่า “จะเห็นนักธุรกิจมีโทรศัพท์เครื่องใหญ่ติดอยู่ที่คอนโซลรถยนต์ มีตัว speaker แยกออกมาเหมือนกับเครื่องส่งวิทยุในรถแท็กซี่สมัยนี้ ซึ่งสมัยนั้นใครมีโทรศัพท์แบบนี้ถือว่าเท่มาก แม้มันจะมีน้ำหนักเท่ากับกระเป๋าเอกสารก็ตาม”

ความรวดเร็วของโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งผู้ใช้สามารถควบคุมการติดต่อสื่อ สารได้เอง แสดงประสิทธิภาพของมันอย่างชัดเจนเมื่อเกิดเหตุการณ์พฤษภาคม ๒๕๓๕

ครั้งนั้นโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งมีขนาดใหญ่พอๆ กับกระเป๋าและกระติกน้ำของนักเรียนประถมได้ก่อปรากฏการณ์ทางการเมืองขึ้น หลังจากที่เผด็จการ รสช. ทำการปิดกั้นข่าวสารการชุมนุมประท้วงจากสื่อต่างๆ กระทั่งกลุ่มผู้ใช้โทรศัพท์มือถือต้องทำการตรวจสอบข่าวโดยตรงกับผู้ที่อยู่ ในที่ชุมนุม เมื่อพบว่าถูกหลอก ปฏิกิริยาการต่อต้านจึงขยายวงกว้างออกไปจนรัฐบาลไม่สามารถควบคุมได้ แม้ขณะนั้นรัฐบาลจะสามารถคุมสื่อทีวีและหนังสือพิมพ์เอาไว้ได้ทั้งหมดก็ตาม

เมื่อเหตุการณ์จบลง กลุ่มผู้ชุมนุมในครั้งนั้นจึงได้รับการเรียกขานว่า “ม็อบมือถือ”

โทรศัพท์เคลื่อนที่เริ่มได้รับความนิยมในวงกว้างและกลุ่มผู้ใช้เพิ่ม จำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อมีการพัฒนาเครือข่ายเข้าสู่ยุค 2G ในปี พ.ศ. ๒๕๓๗ โทรศัพท์เคลื่อนที่ยุคนี้ยังผ่านการแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความปลอดภัยจากการดักขโมยสัญญาณ ความคมชัดของสัญญาณ ตลอดจนพื้นที่ให้บริการก็ครอบคลุมกว้างขวางมากขึ้น ที่สำคัญคือ เงินที่ต้องจ่ายเพื่อเป็นเจ้าของโทรศัพท์เคลื่อนที่ถูกลงจนคนทั่วไปโดยเฉพาะ ชนชั้นกลางมีกำลังจ่ายได้

“การรุกตลาดการสื่อสารอย่างเข้มข้นของโทรศัพท์มือถือช่วง ๑ ทศวรรษที่ผ่านมานี้ ทำให้การสื่อสารด้วยวิธีการอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นจดหมาย โทรศัพท์บ้าน หรือโทรเลข ต่างก็ได้รับผลกระทบอย่างมาก โดยเฉพาะโทรเลขนั้นแทบจะพูดได้ว่าไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป” ดร. สมเกียรติ ตั้งกิจวาณิชย์ ผู้อำนวยการวิจัยด้านเศรษฐกิจยุคสารสนเทศ และนักวิจัยของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) เคยกล่าวกับนิตยสาร National Geographic (ฉบับภาษาไทย ตุลาคม ๒๕๔๗) ไว้เช่นนั้น

ยิ่งโทรศัพท์เคลื่อนที่แพร่หลายขึ้น ข้อจำกัดของการสื่อสารก็นับวันจะลดน้อยลงทุกที เทคโนโลยีการสื่อสารรุ่นเก่าที่ไม่สามารถตอบสนองการใช้งานของคนยุคใหม่ได้ ย่อมได้รับผลกระทบอย่างยากจะหลีกเลี่ยง


ที่มา:http://www.sarakadee.com/web/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=514&page=2